มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี ( ร้อยแก้ว )
พระมหาสัตว์เจ้ายังมหาปฐพีอันใหญ่ให้หวั่นไหวด้วยพระราชทานปิยบุตร
ทั้งสองแก่พราหมณ์ แล้วเกิดโกลาหลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดถึงพรหมโลก
โกลาหลอันนั้นหมู่เทพเจ้าชาวป่าหิมพานต์ได้สดับเสียงพิลาปรำพันของสองพระ
กุมารกุมารีที่พราหมณ์นำไป ก็มีความสงสารประหนึ่งว่าหฤทัยจะแตกทำลาย
จึงปรึกษากันว่าถ้าพระนางมัทรีเสด็จกลับมาสู่อาศรมในเวลากลางวัน
เมื่อไม่ได้เห็นพระเจ้าลูกทั้งสองก็จะต้องรบกวนทูลถามซึ่งพระเวสสันดร
ครั้นได้ทรงทราบว่าพระเวสสันดรได้พระราชทานให้ไปแก่พราหมณ์แล้ว
พระนางเธอก็จะต้องวิ่งติดตามด้วยความสิเนหาอันแรงกล้าก็จะเสวยเวทนาอันใหญ่
หลวง จำเราทั้งปวงจะคิดหาอุบายกั้นกาง
อย่าให้พระนางเธอเสด็จมาได้แต่ในเวลายังวัน
ครั้นปรึกษากันอย่างนี้แล้วจึงพร้อมกันมอบหน้าที่ให้เทพบุตรทั้งสามว่า
ท่านทั้งสามจงจำแลงเพศเป็นราชสีห์องค์หนึ่ง เป็นเสือโคร่งองค์หนึ่ง
เป็นเสือเหลืององค์หนึ่ง
แล้วพากันไปขัดขวางกั้นกางหนทางที่พระนางเธอเสด็จมา
ถึงพระนางเธอจะอ้อนวอนสักเพียงไรอย่าอนุญาตให้มาได้
จนกว่าพระอาทิตย์จะอัสดงคต
จึงค่อยพากันละลดเลิกถอยหนีไปให้พระนางเธอเสด็จมาด้วยรัศมีจันทร์
แต่ว่าท่านทั้งสามจงพากันป้องกันอย่าให้พระนางเธอเป็นอันตรายด้วยสัตว์ร้าย
ต่าง ๆ ได้เป็นอันขาด
เมื่อเทพบุตรทั้งสามรับเทวราชปกาสิตของเทพเจ้าเหล่าที่ประชุมอยู่ในสถาน
ที่นั้นแล้ว ก็กระทำตามคำสั่งสอนทุกประการ
ฝ่ายพระเยาวมาลย์มาศมัทรีพระนางเธอมีพระหฤทัยไหวหวาดด้วยทรงคำนึงความฝัน
แล้วทรงรีบขมีขมันแสวงหามูลผลาหาร
แต่บังเอิญเสียมที่พระนางเธอถือก็หลุดจากพระหัตถ์
กระเช้าก็จะพลัดตกลงจากพระอังสา ทั้งพระเนตรเบื้องขวาก็เขม่นอยู่ริก ๆ
ต้นไม้ที่พระนางเคยปลิดผลก็เผอิญไม่แลเห็น
ท้องฟ้าอากาศก็เป็นประหนึ่งว่ามืดมิดไปทั่วทุกทิศ
พระนางเธอก็ทรงหลากจิตว่าเหตุไรหนอจึงเป็นอย่างนี้
ชะรอยจะมีเหตุอันใดอันหนึ่งแก่ตัวเราหรือไม่ก็พระเจ้าลูกทั้งสอง
มิฉะนั้นก็พระสวามีเวสสันดรอย่างใดอย่างหนึ่ง
ครั้นทรงคำนึงอย่างนี้แล้วจึงบ่ายหน้าเสด็จกลับแต่ได้มาพบมฤคราชร้ายทั้ง
สามที่นอนขวางทางพระนางอยู่ พอนางเสด็จจวนถึง
มฤคราชทั้งสามนั้นก็พร้อมกันลุกขึ้นยืนสกัดขวางทางพระนางไว้พระนางเธอจึงทรง
พิไรรำพันว่า เวลาพระอาทิตย์ก็จวนจะตกต่ำอยู่แล้วทั้งพระอาศรมก็ยังอยู่ไกล
พระเจ้าลูกทั้งสองกับพระสวามีคงจะคอยเสวยมูลผลาหารที่เราจะนำไป
ป่านนี้พระจอมไทขัตติยาเบศร์คงจักปลอบพระราชโอรสธิดาผู้หิวโหยอยู่ใน
บรรณศาลาตั้งหน้าทอดพระเนตรคอยเป็นแน่แท้
พระลูกรักทั้งสองของเราก็จักพากันทรงกันแสงด้วยถึงเวลาเสวยแล้ว
พระลูกแก้วกัณหาก็คงหิว พระถันธารา หรือไม่อย่างนั้น
พระเจ้าลูกทั้งสองก็คงจักมาคอยทางแม่เหมือนกับลูกโคอ่อนที่ชะแง้แลหาแม่โค
หรือไม่อย่างนั้นพระลูกทั้งสองคงยืนคอยแม่อยู่แต่ในอาศรม
เหมือนกับหงส์ที่ตกอยู่บนเปือกตมฉะนั้น อันหนทางก็ยังอยู่ไกล
ทั้งเป็นหนทางน้อยเดินได้แต่ผู้เดียว
เราไม่อาจจะเลี้ยวลัดให้พญาสัตว์ทั้งสามนี้ได้ เพราะข้างหน้าหนึ่งก็มีสระ
อีกข้างหนึ่งก็มีบึง
เราจำเป็นจะอ้อนวอนพญาสัตว์ทั้งสามนี้ให้หลีกหนีจากหนทางเรา
ครั้นทรงพระดำริแล้วจึงปลดกระเช้าผลไม้ลงจากพระอังสาแล้วประคองอัญชลี
ขึ้นอ้อนวอนว่า ข้าแต่พญามฤคราชผู้ทรงฤทธิรอน
ขอท่านทั้งสามจงเห็นแก่ความอ้อนวอนของข้าพเจ้าผู้เป็นพระราชธิดาของมนุษย์
ส่วนท่านทั้งสามก็เป็นราชบุตรของพญามฤคราชเหมือนกัน
ข้าพเจ้ากับท่านทั้งสามชื่อว่าเป็นพี่น้องกันโดยทางธรรม
ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ท่านทั้งสาม ท่านทั้งสามจงกรุณาหลีกหนทางให้ข้าพเจ้า
อันข้าพเจ้านี้เป็นอัครมเหสีของพระราชโอรสกรุงสีพี
ซึ่งถูกขับจากประเทศมาบวชเป็นชีไพร ข้าพเจ้านี้มิได้หมิ่นประมาทพระราชสามี
จงรักภักดีต่อพระราชสามีอยู่เสมอเป็นเนืองนิตย์
ขอท่านทั้งสามจงนิมิตจิตหลีกหนทางให้แก่ข้าพเจ้าด้วย
ช่วยให้ข้าพเจ้าได้กลับไปเห็นหน้าลูกรักทั้งสองศรี คือชาลีและกัณหา
ท่านทั้งสามก็จงพากันแสวงหาอาหารตามต้องการเถิด อีกประการหนึ่ง
ลูกไม้หัวมันที่ข้าพเจ้าได้มานี้มีอยู่มาก
ข้าพเจ้าจะแบ่งให้ท่านทั้งสามเสียกึ่งหนึ่ง
อีกกึ่งหนึ่งจักนำไปฝากพระลูกรักและแลผัวขวัญ
ขอท่านทั้งสามจงรีบด่วนให้หนทางแก่ข้าพเจ้า
เมื่อพระนางอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งเวลาพระอาทิตย์อัสดงคต
พญามฤคราชทั้งสามนั้นจึงพากันละลดหลีกหนทางให้
ในคืนวันนั้นเป็นวันเพ็ญมีพระจันทร์เด่นเต็มดวง
พระนางเธอก็ได้เสด็จล่วงมรรคามาจนกระทั่งถึงที่สุดจงกรม
เมื่อได้ทรงพบเห็นพระเจ้าลูกทั้งสองในที่ ๆ เคยเห็นมา
จึงตรัสว่าเราได้เคยเห็นพระเจ้าลูกทั้งสองพากันยืนคอยต้อนรับอยู่ที่นี้
พอเห็นแม่มาถึงก็พากันวิ่งเข้ารับ แต่วันนี้เหตุไรจึงกลับกลาย
เราไม่พบเห็นพระเจ้าลูกทั้งสองเหมือนอย่างที่เคย
แม่นี้มีอุปมาเหมือนแม่แพะหรือแม่เนื้อที่ละลูกน้อยไปเที่ยวหากิน
หรือเหมือนกับปักษิณที่ทิ้งลูกน้อยไปจากรังหรือแม่ราชสีห์ที่พะว้าพะวัง
อาหาร ละลูกน้อยไว้ในสถานของตนแล้วเที่ยวไปหากินฉะนั้น
วันนี้แม่ได้เห็นแต่รอยเท้าของเจ้าทั้งสองกับกองทรายที่เจ้าทั้งสองเคยกอง
เล่น วันอื่น ๆ แม่ได้เห็นเจ้าทั้งสองขะมุกขะมอมอยู่ด้วยฝุ่นและทราย
พอเห็นแม่มาถึงก็พากันวิ่งรับรองข้าง
มาวันนี้แม่รู้สึกอ้างว้างด้วยไม่เห็นหน้าเจ้าทั้งสอง วันก่อน ๆ
เจ้าทั้งสองเคยคอยต้อนรับแม่ผู้กลับมาจากป่า
เคยชะแง้แลหาแม่เหมือนกับลูกแพะหรือลูกเนื้อทราย
อันมีความมุ่งหมายหาแม่ฉะนั้น
แต่วันนี้แม่มิได้เห็นหน้าเจ้าทั้งสองเหมือนแต่ก่อนเลย
เห็นแต่ผลมะตูมสุกที่เจ้าทั้งสองเคยอุ้มเล่นมาตกกระเด็นอยู่ในที่นี้
โอ้ลูกรักของแม่เอ๋ย
เวลานี้ถันทั้งสองเต้าของแม่ที่ลูกกัณหาเคยได้ดูดดื่มมาแต่ก่อนก็เต่งเต็ม
ประดุจว่าจะแตก ใครเล่าเวลานี้จะมาค้นชายพกแม่เพื่อหาของเล่น
และใครเล่าจะเข้าเหนี่ยวถันแม่เสวยนม โอ้
พระอาศรมนี้เมื่อก่อนปรากฏแก่เราเหมือนกับมีมหรสพครึกครื้น
มาวันนี้ดูช่างเงียบเหงานี่กระไร
เราได้ดูอาศรมแล้วประหนึ่งว่าอาศรมหมุนเวียนเหมือนกับแป้นแห่งนายช่างหม้อ
โอ้ ไฉนหนอพระอาศรมนี้จึงมาเป็นเช่นนี้
ทั้งฝูงกาและสกุณาชาติทั้งหลายก็มิได้ส่งเสียงขันเหมือนวันก่อน
หรือว่าลูกในอุทรของแม่ตายเสียแน่แล้วประการใด
หรือว่ามีผู้ใดมานำเอาลูกแม่ไปเสียที่อื่น
ลูกแม่จึงไม่เห็นปรากฏเหมือนกับในวันก่อน ๆ
เมื่อพระนางเธอทรงพิลาปรำพันอยู่ดังนี้แล้ว
ก็เสด็จเข้าไปเฝ้าพระอดิศรสวามีเวสสันดรราชฤาษี
ทรงวางกระเช้าผลไม้ลงแล้วถวายบังคม
เมื่อได้เห็นสมเด็จพระเวสสันดรราชฤาษีเสด็จประทับนั่งนิ่งอยู่มิได้ทรงพาที
ทั้งมิได้เห็นพระชาลีกัณหา
จึงกราบทูลถามว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
เหตุไรพระองค์จึงทรงนิ่งอยู่เช่นนี้
ทำให้หัวใจของหม่อมฉันมัทรีนี้หวั่นหวาด ทั้งเมื่อเวลาจวนจะใกล้รุ่งวันนี้
หม่อมฉันมัทรีก็ฝันประหลาดอยู่แล้วพระเจ้าข้า
ในเวลานี้ฝูงนกกาไพรและนกต่าง ๆ ก็มิได้ส่งเสียงขับร้อง
หรือพระเจ้าลูกทั้งสองพี่น้องตายเสียแล้วประการใด ข้าแต่พระจอมไทธิราชเจ้า
มีสัตว์ร้ายคาบเอาพระเจ้าลูกทั้งสองไปเคี้ยวกินเสียแล้วหรือไฉน
หรือว่ามีใครนำเอาไปเสียในป่า หรือในทุ่งกว้างอันสุดที่จะแสวงหา
หรือว่าพระองค์ให้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทูตไปเฝ้าพระเจ้าสีพี
หรือพระเจ้าลูกทั้งสองเข้าไปบรรทมอยู่ในอาศรมนี้
หรือว่าพระเจ้าลูกทั้งสองพากันออกไปเที่ยวเล่นในที่อื่น
ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่กระหม่อมฉันด้วยเถิด
แม้แต่พระเกศาและพระหัตถ์พระบาทของพระเจ้าลูกทั้งสอง
ก็มิได้ปรากฏในคลองจักษุของหม่อมฉันหรือนกหัสดีลิงค์จะโฉบเฉี่ยวพระลูกเจ้า
ทั้งสองของกระหม่อมฉันไปแล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่กระหม่อมฉันด้วยเถิด
เมื่อพระนางมัทรีทูลอ้อนวอนอยู่สักเท่าไรพระมหากษัตริย์เจ้าก็มิได้ตรัส
ตอบ นางมัทรีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระเวสสันดรเจ้า
ทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ตรัสแก่กระหม่อมฉันนี้เป็นทุกข์อันยิ่งใหญ่กว่าทุกข์
ที่ถูกเนรเทศจากเมือง ยังมิหนำซ้ำทุกข์ไม่ได้เห็นหน้าพระเจ้าลูกทั้งสองอีก
ขอพระองค์อย่าทรงทรมานกระหม่อมฉันให้ลำบากหัวใจเช่นนี้เลย
หัวใจของกระหม่อมฉันเวลานี้เหมือนกับถูกไฟจี้
การที่พระองค์ทรงนิ่งอยู่อย่างนี้ทำให้กระหม่อมฉันลำบากหัวใจยิ่งนัก
การที่พระองค์ทรงทำอย่างนี้เหมือนกับคนที่ตกต้นไม้แล้วมีผู้ตีซ้ำอีก
หัวใจของกระหม่อมฉันเวลานี้รู้สึกชอกช้ำเหมือนกับถูกลูกศร
หัวใจของกระหม่อมฉันเวลานี้เร่าร้อนยิ่งนักในการที่ไม่ได้เห็นพระลูกรักทั้ง
สอง กระหม่อมฉันขอกราบทูลให้ทรงทราบว่า
ถ้ากระหม่อมฉันไม่ได้เห็นหน้าลูกในคืนนี้
หรือพระองค์ไม่ตรัสกับหม่อมฉันในคืนนี้แล้ว
เช้าขึ้นพระองค์ก็จะเห็นซากศพของกระหม่อมฉันแน่
พระมหากษัตริย์เจ้าจึงทรงพระดำริว่าจำเราจักห้ามความโศกพระนางด้วยความ
หึงหวงจึงจะได้ ครั้นทรงพระดำริแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนมัทรีผู้มีรูปสวย
อันในป่าหิมพานต์นี้ย่อมมีนายพรานและดาบสหรือวิทยาธรเป็นอันมาก
หากเจ้าไปทำอะไรในป่าก็ไม่มีใครจะรู้เห็น
เจ้าออกป่าแต่เช้าเป็นอย่างไรจึงกลับมาจนค่ำมืดเช่นนี้ นี่แน่ะแม่มัทรี
ธรรมดาหญิงที่ทิ้งลูกหนีไปในป่าเขาจะมีสามีหรือไม่มีก็ตามเขาไม่ทำอย่างนี้
ตัวเจ้าเหตุไรจึงทำเป็นไม่มีห่วงลูกห่วงผัวบ้างเลย
ที่ถูกเข้าควรจะนึกถึงลูกบ้างไม่นึกถึงผัวก็ช่างเถิด
แต่นี่สิเข้าป่าแต่เช้าจนกระทั่งกลางคืนจึงกลับมา
ยากที่เราจะเข้าใจว่าเจ้าไปทำอะไร
เมื่อเจ้ามีข้อแก้ไขอย่างไรจงว่ามาอย่าได้ช้า
เมื่อพระนางมัทรีได้ทรงสดับพระวาจาอันเสียดแทงพระหฤทัยเช่นนี้
จึงกราบทูลว่า พระองค์ไม่ได้ยินเสียงราชสีห์เสือโคร่ง
สัตว์สี่เท้าสองเท้าและนกอันบันลือร้องในตอนเย็นนี้บ้างหรือ
นั่นแหละคืออันตรายที่ทำให้กระหม่อมฉันกลับมาแต่ยังวันไม่ได้
ในเวลาที่กระหม่อมฉันไปแสวงหาลูกไม้หัวมันนั้นเกิดรางร้ายขึ้นหลายประการ
คือเสียมก็หลุดมือ กระเช้าก็หลุดจากบ่า
และในป่านั้นกระหม่อมฉันรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นขวัญหาย
ได้ไหว้วอนเทพเจ้าทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองพระองค์กับพระเจ้าลูกที่อยู่ข้าง
หลัง แล้วกระหม่อมฉันได้นึกถึงความฝันร้ายในคืนนี้จึงตั้งใจจะกลับมาเร็ว
ในกาลนั้นตาของกระหม่อมฉันก็เขม่นอยู่ริก ๆ
ทั้งรู้สึกพร่าพราวแลเห็นต้นไม้แปลกไปกว่าแต่ก่อน
คือต้นไม้ที่เคยผลิผลก็แลเห็นเป็นไม่มีผล
ส่วนต้นไม้ที่ไม่มีผลสิกลับแลเห็นเป็นมีผล
กระหม่อมฉันจึงเที่ยวหาผลไม้ได้โดยลำบากนัก พอแสวงหาได้แล้วก็รีบกลับมา
ครั้นมาถึงช่องเขาก็มีสัตว์ร้ายสามตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง
มานอนขวางทางกระหม่อมฉันอยู่ กระหม่อมฉันไม่รู้ที่จะหลีกไปทางไหน
ได้กราบไหว้อ้อนวอนต่อสัตว์ทั้งสามอยู่จนกระทั่งพลบค่ำสัตว์ร้ายทั้งสามนั้น
จึงหลีกทางให้กระหม่อมฉัน
กระหม่อมฉันได้รีบเดินเป็นวิ่งมาจนกระทั่งถึงอาศรมศาลาที่นี้
เหตุที่กระหม่อมฉันไปเช้ากลับมาถึงในเวลากลางคืนอยู่อย่างนี้แหละพระเจ้าข้า
ฯ
ส่วนพระมหากษัตริย์เจ้าเมื่อพระนางมัทรีกราบทูลชี้แจงอย่างนี้แล้วก็มิได้
ตรัสตอบประการใด ทรงนิ่งอยู่จนตลอดราตรี
ฝ่ายพระนางมัทรีก็ได้แต่ทรงโศกร่ำร้องปรับทุกข์ไปตามประสาหญิงด้วยถ้อยคำ
ต่าง ๆ ว่าตัวเราไม่เคยประมาทต่อพระราชสามีเลย
ได้ตั้งใจปฏิบัติพระราชสามีเป็นอย่างดีเหมือนศิษย์ปฏิบัติอาจารย์
ได้เที่ยวแสวงหามูลผลาหารในป่ามาเลี้ยงพระสามีแลพระลูกรักทั้งสองทุกวันมา
โอ้พระลูกเอ๋ย นี่แน่ะขมิ้นแม่บดไว้สำหรับใช้เวลาเจ้าทั้งสองอาบน้ำ
โอ้นี้สิผลมะตูมสุกที่เจ้าทั้งสองเคยเล่น นี่ก็เง่าบัวฝักบัวที่แม่หามาไว้
นี่ก็ลูกกระจับอันมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของกระหม่อมฉัน
ขอพระองค์ได้โปรดเรียกพระลูกทั้งสองมาเสวยลูกไม้หัวมันเถิด
ขอพระองค์จงประทานดอกไม้ประทุกแก่พ่อชาลีประทานดอกโกมุทแก่แม่กัณหา
ให้พระเจ้าลูกทั้งสองประดับประดาแล้วฟ้อนรำให้ทอดพระเนตร
ขอพระปิ่นเกษจงเรียกพระเจ้าลูกทั้งสองให้ตื่นจากบรรทมเถิด
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าพลโยธี
เราทั้งสองก็ย่อมมีสุขทุกข์เสมอกันได้ถูกขับจากพระนครมาด้วยกัน
สมควรที่พระองค์จะทรงพระกรุณาแก่กระหม่อมฉันบ้างอย่าทรงให้กระหม่อมฉันลำบาก
ใจนักเลยพระเจ้าข้า หรือว่าข้ามัทรีมีบาปกรรมได้กระทำมา
ได้เคยด่าว่าสมณพราหมณ์ว่าขอให้ท่านพลัดพรากจากบุตรธิดาไว้ในปางก่อนหรือ
อย่างไร วันนี้กระหม่อมฉันถึงพลัดพรากจากพระลูกรักทั้งสอง
เมื่อพระนางเธอไม่ได้รับคำตอบจากพระราชสามีอย่างนี้แล้ว
ก็ถวายบังคมลาออกเที่ยวเสาะแสวงหาพระลูกเจ้าทั้งสองในที่ต่าง ๆ
เมื่อพระนางเจ้าไปถึงต้นไม้ที่พระเจ้าลูกทั้งสองเคยเล่นอยู่แต่ก่อนมา
พระนางเจ้าก็ทรงปริเทวนารำพันเพ้อต่าง ๆ
จนกระทั่งหมู่เนื้อและนกได้ตกใจกลัวด้วยเสียงฝีพระบาทและเสียงร่ำร้องของพระ
นางเธอ เมื่อพระนางเธอได้ทอดพระเนตรเห็นของเล่น
คือตุ๊กตารูปเนื้อทรายตัวเล็ก ๆ รูปกระต่าย รูปนกเค้า รูปชะมด รูปหงส์
รูปนกกะเรียน รูปนกยูง ซึ่งพระลูกทั้งสองได้เคยเล่นมาในกาลก่อน
พระนางเจ้าก็ยิ่งทรงสะท้านอาวรณ์ถึงซึ่งพระเจ้าลูกทั้งสอง
แล้วพระนางเจ้าจึงวิ่งกลับไปที่พระอาศรมแล้วกลับออกมาจากพระอาศรมไป
เที่ยวแสวงหาตามนานาสถาน มีสระโบกขรณีเป็นต้น
แล้วกลับมากราบทูลพระมหาสัตว์อีก
เมื่อทรงเห็นพระมหาสัตว์ประทับนิ่งอยู่อีกเหมือนแต่ก่อน
จึงกราบทูลตัดพ้อต่อว่า ว่าเหตุไรพระองค์จึงไม่ทรงตักน้ำ ผ่าฟืน
ก่อไฟไว้เหมือนวันก่อน ๆ มาทรงนั่งนิ่งอยู่เหมือนอย่างนี้ทำไม
ข้าแต่พระเวสสันดรเจ้าผู้เป็นที่รักของกระหม่อมฉันอย่างยิ่ง
ไม่มีผู้ใดจะเป็นที่รักของกระหม่อมฉันยิ่งไปกว่าพระองค์เลย วันก่อน ๆ
เวลากระหม่อมฉันกลับมาเห็นพระพักตร์ของพระองค์แล้วก็หายเหน็ดเหนื่อยทุกข์
แต่วันนี้กระหม่อมฉันยิ่งทุกข์ร้อนขึ้นอีก
ในการที่พระองค์ไม่ทรงจำนรรจากับกระหม่อมฉัน
ทั้งไม่ได้เห็นหน้าของพระลูกเจ้าทั้งสอง
เมื่อพระนางเธอเห็นพระมหาสัตว์เจ้าทรงนิ่งอยู่
ก็ทรงโศกเศร้าเป็นกำลังดังประหนึ่งว่ามีลูกศรมาเสียบทรวง
มีพระกายสะทกสะท้านปานแม่ไก่ถูกตี
ได้ถวายอัญชลีแล้วออกเที่ยวตามหาพระลูกเจ้าทั้งสองอีก
เมื่อไม่ทรงพบเห็นในที่ใด ๆ จึงกลับมาทูลอ้อนวอนถามพระมหาสัตว์เจ้าอีก
ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้าก็ไม่ตรัสประการใด
พระนางเธอได้เที่ยวแสวงหาพระเจ้าลูกทั้งสองวกไปเวียนมารอบขอบเขตพระบรรณศาลา
อยู่ตลอดราตรี ถ้าจะคลี่คลายหนทางทรงออกไปก็ได้ถึง ๑๕ โยชน์โดยคณา
พอสิ้นราตรีแล้วพระนางเจ้าก็กลับไปเฝ้าพระมหาสัตว์เจ้าอีก
ทรงร้องไห้รำพันด้วยประการต่าง ๆ
แล้วทรงยกย่องพระบาทว่าจะออกเที่ยวแสวงหาอีก
แต่พอดีพระนางเจ้าได้สิ้นพระสติสัมปฤดีล้มสลบลงที่พื้นพสุธาต่อหน้าพระที่
นั่งของพระเวสสันดรราชฤๅษี
ในขณะนั้นพระเวสสันดรราชฤๅษีทรงตกพระทัยว่า
พระมัทรีสิ้นพระชนม์ชีพแล้วทรงตระหนกตกประหม่า
จนมีพระกายสั่นสะท้านด้วยความโศกศัลย์อันแรงกล้า ออกพระโอษฐ์ว่า
เจ้ามัทรีไม่ควรจะมาตายในที่เช่นนี้เลย
ถ้าเจ้าตายอยู่ในกรุงสีพีก็จะได้มีการถวายเพลิงเป็นการใหญ่
ประชาชนและกษัตริย์ทั้งสองประเทศก็จะได้ถวายสักการะพิเศษพระศพของเจ้า
ครั้นออกพระโอษฐ์อย่างนี้แล้ว จึงรีบเสด็จจากพระบรรณศาลา
เพื่อทรงตรวจดูว่าพระนางสิ้นพระชนม์แล้วจริงหรือ
เมื่อทรงวางพระหัตถ์เบื้องขวาลงที่พระทรวงของพระนาง
ก็ทรงทราบว่าพระนางยังทรงพระชนม์อยู่เพระพระทรวงยังอุ่นอยู่
จึงรีบไปหยิบเอา
พระเต้าลงมาช้อนพระเศียรของพระนางขึ้นวางบนพระเพลา
เทน้ำออกจากพระเต้ารดตัวพระนางให้เปียกชุ่ม
แล้วทรงวักน้ำลูบพระพักตร์และทรวงของพระนาง
ฝ่ายพระนางมัทรีก็ทรงได้สติสมปฤดีขึ้นมา
แล้วเคลื่อนพระองค์ลงจากพระเพลาขึ้นถวายบังคมทูลถามว่า
พระเจ้าลูกทั้งสองอยู่ที่ไหนพระเจ้าข้า
ก็แลนับแต่พระเวสสันดรได้ทรงบรรพชามาถึง ๗ เดือนแล้ว
ยังไม่เคยแตะต้องพระกายของพระนางเลย
เพิ่งได้มาแตะต้องในคราวนี้ด้วยความเศร้าโศกอันแรงกล้าเท่านั้น
ครั้นพระนางมัทรีทูลถามถึงพระลูกทั้งสอง จึงตรัสตอบว่า ดูก่อนมัทรี
พระเจ้าลูกทั้งสองนั้นเราได้ให้แก่พราหมณ์ชราไปเสียแต่วานนี้แล้ว
ขอเจ้าจงทรงผ่องแผ้วอนุโมทนาต่อทานบารมีของเราเถิด พระนางมัทรีกราบทูลว่า
เหตุไรพระองค์จึงไม่ตรัสบอกกระหม่อมฉันเสียในเวลาคืนนี้เล่า ดูก่อนมัทรี
เพราะเราเห็นว่าถ้าเราจะบอกแต่เดิมทีก็กลัวเจ้าจะหัวใจแตกตายด้วยความเสียใจ
เพราะฉะนั้น ขอเจ้าอนุโมทนาในเวลานี้เถิด
พระนางมัทรีจึงกราบอนุโมทนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
กระหม่อมฉันขออนุโมทนาปุตตทานอันอุดมของพระองค์
ขอพระองค์จงทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส ให้พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมียิ่ง ๆ
ขึ้นไปเถิด เมื่อคนทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของความตระหนี่เหนี่ยวแน่น
พระองค์ผู้ทำแว่นแคว้นสีพีให้เจริญได้ทรงพระราชทานซึ่งพระเจ้าลูกทั้งสองให้
เป็นทานแก่พราหมณาจารย์แล้ว จัดว่าเป็นทานอันประเสริฐของพระองค์ ฯ
ลำดับนั้นพระเวสสันดรจึงตรัสว่า ดูก่อนมัทรี
ถ้าเราไม่มีใจเลื่อมใสยินดีแล้ว อัศจรรย์ต่าง ๆ ก็ไม่เกิดมี คือแผ่นดินไหว
ฟ้าก็ร้อง ภูเขาก็สะท้านเหมือนกับจะถล่มเป็นที่น่าอัศจรรย์
พระคันถรจนาจารย์จึงสังวรรณนาการไว้ว่าอัศจรรย์ต่าง ๆ
นั้นคือเทพเจ้าทั้งสองหมู่ที่สิงอยู่ในนารทบรรพต
ก็ได้อนุโมทนาต่อปุตตทานของพระเวสสันดรอยู่ที่ประตูวิมานแห่งตน ๆ
มิใช่แต่เท่านั้น พระอินทร์ พระพรหม ท้าวปชาบดี พระจันทรเทพบุตร พระยม
ท้าวเวสสุวัณ เทพเจ้าแห่งดาวดึงส์ มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า
และเทพเจ้าทุกราศีก็มีใจยินดีอนุโมทนาต่อปุตตทานของพระเวสสันดรขึ้นพร้อมกัน
ว่า ข้าแต่พระเวสสันดรเจ้า ทานที่พระองค์ทรงบำเพ็ญนี้เป็นทานอันอุดม
เป็นอันพระองค์ทรงบำเพ็ญแล้วเป็นอย่างดี
ฝ่ายพระนางมัทรีผู้เป็นพระราชบุตรีมียศก็เปล่งสุนทรอนุโมทนาต่อปุตตทานอัน
อุดมของพระเวสสันดรบรมราชสวามี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น