วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

ลักษณะสำคัญของภาษาไทย



ลักษณะสำคัญของภาษาไทย
          ภาษาไทยมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยพระโหราธิบดี ได้แต่งตำราเรียนภาษาไทยเล่มแรก ชื่อ จินดามณี ขึ้น ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวงธรรมการได้พิมพ์ตำราสยามไวยากรณ์เป็นแบบเรียน และเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีได้เรียบเรียงขึ้นใหม่โดยย่อจากตำราสยามไวยากรณ์ จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๑ พระยาอุปกิตศิลปะสาร ได้ใช้เค้าโครงของตำราสยามไวยากรณ์แต่งตำราหลักภาษาไทยขึ้นใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นตำราหลักภาษาไทยที่สมบูรณ์และเป็นแบบฉบับหลักภาษาไทยที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน ลักษณะที่สำคัญของภาษาไทย มีดังนี้
          ๑. ภาษาไทยเป็นคำโดด คือ คำไทยแต่ละคำมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเองและใช้ได้อย่างอิสระโดยไม่มีการเปลี่ยนรูปศัพท์ เช่น พ่อ แม่ สูง ต่ำ เป็นต้น
          ๒. คำไทยแท้ส่วนมากมีพยางค์เดียว คือ เป็นคำที่มีความหมายเข้าใจได้ทันที เช่น โอ่ง ไห ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น ส่วนคำไทยแท้ที่มีหลายพยางค์มีสาเหตุมาจาก
                   ๒.๑ การปรับปรุงศัพท์ด้วยการลงอุปสรรคแบบไทย คือ การเพิ่มเสียงหน้าศัพท์ เช่น
                             ชิด       —-       ประชิด
                             ทำ       
—-       กระทำ
                             ลูกดุม  
—-       ลูกกระดุม
                   ๒.๒ การกลายเสียง เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของภาษา เช่น เสียงกร่อน
                             หมากม่วง          —-        มะม่วง
                             หมากพร้าว      
—-        มะพร้าว
                             สายเอว            
—-        สะเอว
                             ต้นไคร้             
—-        ตะไคร้
          ๓. คำไทยแท้มีตัวสะกดตรงตามมาตรา เช่น คำที่เกี่ยวกับการต่อสู้ ได้แก่
                             แม่กก  —-       ชก ศอก กระแทก โขก ผลัก
                             แม่กด 
—-       กัด ฟัด รัด อัด กอด ฟาด อัด
                             แม่กบ 
—-       ตบ ทุบ งับ บีบ จับ กระทืบ ถีบ
                             แม่กง  
—-       ถอง พุ่ง ดึง เหวี่ยง ทึ้ง
                             แม่กน 
—-       ชน ยัน โยน ดัน
                             แม่กม 
—-       โถม ทิ่ม รุม ทุ่ม
                             แม่เกย
—-       เสย ต่อย
                             แม่เกอว
—-     เหนี่ยว น้าว
          ๔. ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งวรรณยุกต์นี้จะทำให้คำมีระดับเสียงและความหมายต่างกัน เช่น
                             คา ค่า ค้า                     เขา เข่า เข้า
                             นำ น่ำ  น้ำ                    เสือ เสื่อ เสื้อ
          ๕. ภาษาไทยมีการสร้างคำเพื่อเพิ่มความหมายให้มากขึ้น การเพิ่มคำในภาษาไทยมีหลายลักษณะ เช่น การประสมคำ คำซ้อน คำซ้ำ คำสมาส คำสนธิ ศัพท์บัญญัติ คำแผลง เป็นต้น
          ๖. การเรียงคำในประโยค การเรียงคำในประโยคของภาษาไทยนั้นสำคัญมาก เพราะถ้าเรียงคำในประโยคสลับกันจะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป เช่น
                             พ่อให้เงินผมใช้
                             พ่อให้ใช้เงินผม
                             พ่อให้ผมใช้เงิน
          ๗. คำขยายในภาษาไทยมักจะเรียงอยู่หลังคำที่ถูกขยาย เช่น
                             แม่ไก่สีแดง
                             เรือลำใหญ่แล่นช้า
          ๘. คำไทยมีคำลักษณนาม มีหลักการใช้ดังนี้
                   ๘.๑ ใช้ตามหลังคำวิเศษณ์บอกจำนวนนับที่เป็นตัวเลข เช่น
                                        นักเรียน ๑๐ คน
                                        แมว ๒ ตัว
                   ๘.๒ ใช้ตามหลังคำนามเพื่อบอกลักษณะคำนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น
                                        หนังสือเล่มนั้นใครซื้อให้
                                        นกฝูงนี้มาจากไซบีเรีย
          ยกเว้น การใช้ว่า เดียวแทนจำนวนนับ ๑ หน่วย ซึ่งจะอยู่หลังลักษณนาม เช่น
                                       ฉันเลี้ยงแมวไว้ตัวเดียว
                                       เขากินข้าวจานเดียว
          ๙. ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขียนและการพูด เพื่อกำหนดความหมายที่ต้องการสื่อสาร หากแบ่งวรรคตอนการเขียนผิดหรือพูดเว้นจังหวะผิด ความหมายก็จะเปลี่ยนไป เช่น
                                       อาหาร อร่อยหมดทุกอย่าง
                                       อาหารอร่อย หมดทุกอย่าง
          ๑๐. ภาษาไทยมีระดับการใช้ ระดับของภาษาแบ่งได้ดังนี้
                   ๑๐.๑ ระดับพิธีการ                  ใช้ในพิธีการสำคัญต่างๆ
                   ๑๐.๒ ระดับทางการ                 ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ (ภาษาทางการ)
                   ๑๐.๓ ระดับกึ่งทางการ               ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ แต่ลดระดับโดยการใช้ภาษาสุภาพและเป็นกันเองมากขึ้น
                   ๑๐.๔ ระดับสนทนา                  ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ เช่น การพูดคุยทั่วไป
          ๑๐.๕ ระดับกันเอง                             ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการกับเพื่อนสนิท สามารถใช้ภาษาพูดหรือภาษาคะนอง

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

เทคนิคการพูดโน้มน้าวใจ

การพูดโน้มน้าวใจ และตัวอย่างการพูดโน้มน้าวใจ
                การพูดโน้มน้าวใจนั้น  เป็นศาสตร์และศิลป์ทางจิตวิทยา ที่สามารถเปลี่ยนความเชื่อและทัศนคติของผู้ฟัง  ให้เกิดการคล้อยตาม คิดตาม และปฏิบัติตามในที่สุด  อาจจะมากจนถึงขึ้นฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกเลยก็ได้ เช่น การพูดโน้มน้าวใจให้พนักงานรักษาความสะอาดของสถานที่ทำงานให้ดีที่สุด  การพูดโน้มน้าวใจให้เด็กนักเรียนติดนิสัยการทิ้งขยะลงถัง เป็นต้น  ซึ่งจิตสำนึกเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี และได้รับการปลูกฝังมาเป็นอย่างดีจากผู้บังคับบัญชา หรือผู้อบรมสั่งสอนนั่นเอง
เทคนิคการพูดโน้มน้าวใจอย่างได้ผล
 พูดให้ผู้ฟังเห็นภาพและมีเหตุผลที่หนักแน่น
การที่คนเราจะเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น  จะต้องมีความสมเหตุสมผล  เมื่อผู้ฟังได้ชั่งใจและติดสินใจแล้ว  ก็จะเกิดเป็นความเชื่อขึ้นมา ดังนั้นผู้ที่เป็นฝ่ายพูดโน้มน้าวจิตใจนั้น  ต้องหาเหตุผลมาประกอบให้หนักแน่นที่สุด  เพื่อจะให้เกิดการคล้อยตามและความเชื่อขึ้นมาในคนหมู่มากได้
 มีการกำหนดจุดมุ่งหมายในการพูดอย่างชัดเจน
ผู้พูดจะต้องมีจุดมุ่งหมายของตัวเองอย่างชัดเจน  ว่าเมื่อคุณพูดไปแล้ว  จะเกิดผลหรือเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อผู้ฟังบ้าง  เพื่อให้บรรลุผลตามที่ผู้พูดต้องการ  ไม่ควรพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง จับใจความไม่ได้  เพราะเมื่อจุดมุ่งหมายออกทะเลไปไกล  จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อขึ้นมาได้  ดังนั้นควรพูดอย่างมีเนื้อหาสาระที่เป็นจุดประสงค์ของเรา
 กระตุ้นให้เกิดอารมณ์และความคิดเห็นที่คล้อยตามกันไป
การที่คนหมู่มากมีความคิด  เหตุผลในการตัดสินใจ  และมีอารมณ์ร่วมกัน  ก็จะทำให้เกิดพฤติกรรมในทางปฏิบัติร่วมกัน  เมื่อความคิดของคนหมู่มากได้เกิดขึ้นมาแล้ว  จะส่งผลให้คนกลุ่มที่ยังลังเล  หรือมีความเพิกเฉย  ได้คล้อยตามไปกับหมู่คณะ  ซึ่งการกระตุ้นเพื่อทำให้เกิดอารมณ์ร่วมกันนี้  อาจใช้ปัจจัยหลายอย่าง และเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน  ตัวอย่างเช่น  การที่เราจะให้เด็กนักเรียนรักษาความสะอาดของโรงเรียน  ก็ต้องแบ่งกลุ่มให้เด็กทำความสะอาดตามจุดต่างๆ และมีของรางวัลสำหรับกลุ่มที่รักษาความสะอาดได้ดีที่สุด  และของรางวัลก็จะต้องมีการแบ่งเฉลี่ยให้ได้รับเท่ากันทุกคน  เด็กๆ ก็จะเกิดนิสัยรักษาความสะอาดฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก  และยังกระตุ้นให้เพื่อนรอบข้างได้ปฏิบัติตามอีกด้วย
 ผู้พูดต้องจัดลำดับเนื้อหาในการพูดให้ดี
ในการพูดโน้มน้าวใจนั้น  จะต้องมีประโยคที่เกิด Action หรือดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้  และประโยคเหล่านั้นก็จะต้องสอดคล้องกับเนื้อหาที่เราจะพูดด้วย  ตัวอย่างเช่น ท่านผู้มีเกียรติครับ  หนทางไกลหมื่นลี้ ย่อมต้องเริ่มที่ก้าวแรกเสมอ  แล้ววันนี้ถ้าเราจะคิดเริ่มต้นสิ่งใด  คุณยังจะลังเลอีกหรือ ? ในเมื่อโอกาสมันได้มาอยู่ตรงหน้าคุณแล้วตรงนี้นี่คือการเกริ่นให้เกิดความสนใจขึ้นมาได้  และต่อไปก็คือเนื้อหาสาระที่ต้องการจะพูดสื่อสารออกไป  ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้ฟัง เพราะจะทำให้เกิดการมโนภาพขึ้นมาได้ง่ายขึ้น  และเมื่อเรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของคนหมู่มาก  ย่อมเกิดการคิดตามและความเชื่อมั่นในระดับหมู่ขึ้นมาอย่างแน่นอน  หากพูดเนื้อหาตามจุดประสงค์ของเราแล้ว  ตอนบทสรุปถ้าเป็นไปได้ให้ทิ้งประโยคหรือข้อคิดคำคม  ที่ผู้ฟังสามารถนำกลับไปคิดต่อได้ จะเป็นผลดีมากๆ เลยค่ะ
บุคลิกและความคล่องแคล่วในการพูด
ผู้พูดโน้มน้าวใจจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะพูดอย่างลึกซึ้ง  เพื่อสามารถตอบปัญหาคาใจให้กับผู้ฟังได้อย่างคล่องแคล่ว  ดูแล้วมีความเป็นมืออาชีพ  สามารถเชื่อถือได้ เท่านี้ก็จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ฟังของเราได้แล้วหล่ะค่ะ
 อย่าพูดถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม
ในกรณีนี้  เราไม่ได้หมายถึงการโกหกหลอกลวงผู้ฟังนะค่ะ  แต่เป็นการหลีกเลี่ยงคำพูดหรือเนื้อหาที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความคิดในเชิงลบ  เพราะคุณจะไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังได้เลย  ควรพูดสิ่งที่ดีให้มาก  เพื่อสร้างความคิดในมุมบวกให้เกิดขึ้นกับผู้ฟังนั่นเอง
พูดถึงผลประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับ
เป็นธรรมดาที่คนเรามักจะรักในผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ  ดังนั้นการพูดอย่างหนักแน่น มีเหตุมีผลแล้ว  หากผลที่ผู้รับจะได้นั้นมีความเป็นรูปธรรม หรือสิ่งของที่จับต้องได้ด้วยแล้ว  จะทำให้เกิดการโน้มน้าวใจได้ง่าย  และอาจเกิดการบอกต่อได้อีกด้วย  เช่นหากคุณผู้ฟังซื้อเครื่องปริ้นเตอร์ยี่ห้อนี้  คุณจะได้รับของแถมเป็นกระดาษ 1 กล่อง และเติมหมึกให้ฟรี 1 ชุด เท่ากับว่าเมื่อคุณรับปริ้นงานจนหมึกและกระดาษหมด  รายได้จะมากกว่าราคาซื้อเครื่องปริ้นเสียอีก  เท่ากับว่าคุณได้เครื่องปริ้นไปฟรีๆ เป็นต้น  ซึ่งในกรณีนี้  ผู้พูดจะเป็นผู้ขายหมึกและกระดาษให้กับเจ้าของเครื่องปริ้น  เป็นการวางตลาดระยะยาวนั่นเอง
  สร้างบรรยากาศในการพูดให้ผ่อนคลายบ้าง
การที่เราจะพูดแต่เนื้อๆ เน้นๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป  จะทำให้ผู้ฟังเกิดอาการเบื่อ  ความสนใจจะลดลง  สุดท้ายทั้งผู้พูดและผู้ฟังจะไม่ได้อะไรเลย เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์  ดังนั้นระหว่างที่พูดก็ควรจะแทรกอารมณ์ขันเข้าไปกับเนื้อหาที่พูดด้วย  ผู้ฟังจะได้หัวเราะ ผ่อนคลาย และเกิดความเป็นกันเองมากขึ้น  ไม่ต้องอยู่ภายใต้ภาวะกดดัน เหมือนโดนบังคับให้มาฟัง
                ทั้งหมดทั้งมวลนี้  คือวิธีการพูดโน้มน้าวใจคน  เพื่อให้ผู้ที่สนใจหรือต้องการศึกษาเรียนรู้  ได้ลองนำไปปฏิบัติ และปรับปรุงการพูดโน้มน้าวใจของคุณให้ดีขึ้น  จะได้เป็นบุคลากรที่สามารถดึงดูดลูกค้าเข้ามาสู่องค์กรได้มากๆ ยังไงหล่ะ  สำหรับบทความเกี่ยวกับการพูดโน้มน้าวใจคนและตัวอย่างการพูดโน้มน้าวใจคนก็มีประมาณนี้  ขอให้คุณผู้อ่านได้รับประโยชน์กันมากที่สุดนะค่ะ


วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สรุปแบบวิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคล ม.๕/๒

การประเมินคุณค่างานเขียน


การประเมินคุณค่างานเขียน
คุณค่าของงานประพันธ์
              งานประพันธ์ หมายถึง    งานที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยใช้ภาษาที่สละสลวยถ่ายทอดให้เป็นเรื่องราว มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
              การรู้จักเลือกอ่านงานประพันธ์ที่มีคุณค่า และรู้จักอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์จะช่วยเพิ่มพูนประโยชน์  ทั้งยังจะได้ความรู้ความคิดที่ได้จากเรื่องที่อ่าน นำมาพัฒนาตนเองให้มีบุคลิกภาพที่ดีได้
               องค์ประกอบของงานประพันธ์    ประกอบ ด้วย เนื้อหา + รูปแบบ งานประพันธ์ที่มีเนื้อหาและรูปแบบเหมาะสมกันจะจัดเป็นวรรณคดี ถ้าเรื่องใดไม่ถึงขั้นเป็นวรรณคดีก็จะเรียกว่า วรรณกรรรม
              เนื้อหา หมายถึง เรื่องราวที่ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นจากจินตนาการ จากประสบการณ์ จากความรู้สึก
              รูปแบบ หมายถึง ลักษณะรวมของประเภทงานประพันธ์ที่ผู้แต่งใช้  อาจเป็นนิราศ เป็นโคลง เป็นลิลิต อาจเป็นร้อยแก้ว ซึ่งมีทั้งสารคดี และบันเทิงคดี เช่น เป็นเรื่องสั้น

การพิจารณาคุณค่าของงานประพันธ์
              แยกพิจารณาดังต่อไปนี้
              ๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์
              ประเภทร้อยกรอง งานเขียนประเภทนี้จะได้ชื่อว่าเป็นงานประพันธ์ที่ดีได้    ผู้ ประพันธ์ควรเลือกใช้รูปแบบที่สอดคล้องกับเนื้อหา มีกลวิธีการแต่งที่น่าสนใจ ใช้ถ้อยคำไพเราะสละสลวย ให้อารมณ์สะเทือนใจ และให้สารที่มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นงานประพันธ์ที่มีความงามทางด้านภาษา
                   ๑.๑ ประเภทร้อยแก้ว ที่เป็นเรื่องสั้นหรือนวนิยาย    งานเขียนประเภทนี้จะได้รับการยกย่องว่าแต่งดีมาก จะมีลักษณะดังนี้
                        ๑.๑.๑ แก่นเรื่องสัมพันธ์กับโครงเรื่องและตัวละคร
                        ๑.๑.๒ มีกลวิธีการประพันธ์ที่แปลกใหม่น่าสนใจ
                        ๑.๑.๓ ในเรื่องมีจุดขัดแย้งที่ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ
                        ๑.๑.๔ ภาษาที่ใช้บรรยายและพรรณนาสละสลวยให้นึกเห็นภาพ
                        ๑.๑.๕ คำพูดเหมาะสมกับบุคลิกภาพของตัวละคร
                        ๑.๑.๖ ให้สารที่มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับชีวิตและสังคม
             ๒. คุณค่าด้านสังคม
             งานประพันธ์ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นความเป็นอยู่  ค่านิยม และจริยธรรมของคนในสังคมที่งานประพันธ์ได้จำลองภาพไว้
มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมหรือจริยธรรมของสังคม และมีส่วนช่วยจรรโลงหรือพัฒนาสังคมด้วย

ความงามในภาษา
             ถ้อยคำภาษาทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง    จะมีคุณค่าแห่งความงดงามอยู่ในตัว หากผู้ถ่ายทอดสามารถสร้างสรรค์ได้อย่างประณีต  ตามลักษณะของรูปแบบและฉันทลักษณ์ ซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้
                ความงามของคำประพันธ์ในวรรณคดีสันสกฤต สรุปลักษณะดังนี้
                   ๑. ต้องใช้ภาษาถูกต้องตามกฎของไวยากรณ์
                   ๒. มีการตกแต่งภาษาดี    เมื่ออ่านหรือฟังแล้วมองเห็นภาพตามไปด้วย เรียกว่ามี อลังกา
                   ๓. มีการใช้ถ้อยคำที่ดี    คือมีเสียงไพเราะ และมีความหมายบริบูรณ์ เรียกว่ามีความโศภา

องค์ประกอบของความงามในภาษาไทยดูได้ที่
                   ๑. ถ้อยคำ เป็นสัญลักษณ์ของความคิด    การใช้ถ้อยคำจะต้องมีค่าในการสื่อสาร จะต้องใช้ถ้อยคำให้ตรงกับความรู้สึก
นึกคิดของตน    และมีความหมายแก่ผู้อ่านให้ใกล้ภาพในใจของผู้ประพันธ์มากที่สุด
                   ๒. เสียง เสียงในภาษาทำให้เกิดความงามได้    ลักษณะ คือ
                        ๒.๑ เสียงวรรณยุกต์    กวีนิยมเล่นเสียงวรรณยุกต์เพื่อให้เกิดความไพเราะ เช่น จะจับจองจ่องจ้องสิ่งใดนั้น
ดูสำคัญคั่นคั้นอย่างันฉงน
                        ๒.๒ เสียงสัมผัส    หมายถึง เสียงที่คล้องจองกัน มี ๒  อย่างคือ สัมผัสพยัญชนะกับสัมผัสสระ เช่น
                              ความรักเหมือนโรคา    บันดาลตาให้มืดมน
                              ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
                        ๒.๓ เสียงหนักเบา    ผู้อ่านต้องรู้จักทอดเสียง เน้นเสียงหนักเบาที่คำบางคำเพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงรสไพเราะของเนื้อความ
                   ๓. ความหมาย คือความคิดสำคัญที่มีอยู่ในถ้อยคำ  การที่เราจะมองเห็นความงามในภาษา เราจะต้องเข้าใจความหมายในถ้อยคำหรือข้อความเสียก่อน
                   ๔. การเรียบเรียงถ้อยคำ    การเรียบเรียงถ้อยคำต้องให้ถูกต้องตามระเบียบของภาษา จึงจะสื่อความหมายได้แจ่มแจ้ง ก่อให้เกิดความงามในภาษาควรปฏิบัติดังนี้
                        ๔.๑  เรียงคำขยายไว้หลังคำที่ถูกขยาย
                        ๔.๒  เว้นวรรคตอนให้ถูกต้องจะช่วยสื่อความหมายได้ชัดเจน
                    หากเป็นการเรียบเรียงถ้อยคำแบบร้อยกรอง    ควรจะมีลักษณะดังนี้
                        ก. ใช้ถ้อยคำทำให้เกิดภาพและเกิดความรู้สึกตรงตามจินตนาการของกวี
                        ข. ใช้คำที่มีเสียงสูงต่ำดุจดนตรี
                        ค. เสนอสารที่ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้ง
                        ง. ใช้ถ้อยคำบรรยายหรือพรรณนา    ที่ทำให้เกิดความสะเทือนอารมณ์
                   ๕. การใช้กวีโวหาร และสำนวนโวหาร
                        กวีโวหาร มักใช้กับวรรณคดีร้อยกรอง
                        สำนวนโวหาร ใช้กับวรรณคดีร้อยแก้ว
                        กวีจะใช้กวีโวหาร หรือสำนวนโวหาร เพื่อสร้าง ภาพในจิตหรือ จินตภาพ” (ภาพที่ปรากฏในจินตนาการ) ซึ่งอาจจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาหรือเป็นโวหารภาพพจน์ก็ได้
                        โวหาร ภาพพจน์ หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงอย่างไม่ตรงไปตรงมาแต่ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจและรู้สึก ประทับใจยิ่งกว่าการใช้คำบอกเล่าธรรมดา
                  โวหารภาพพจน์ มีหลายวิธี    คือ
                             ๕.๑ อุปมาอุปไมย    เป็นการเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนสิ่งหนึ่ง เช่น ขาวเหมือนหยวก
                        ๕.๒ อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่ง    เช่น โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
                             ๕.๓ บุคลาธิษฐาน    สมมุติสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นบุคคล เช่น ทะเลไม่เคยหลับ
                             ๕.๔ สัญลักษณ์ ใช้คำแทนไม่กล่าวถึงสิ่งนั้นโดยตรง เช่น
                             “อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า   มาถนอม”  ดอกฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งสูงค่า เกินที่จะได้เป็นเจ้าของ
                         ๕.๕ การกล่าวน้อย แต่กินความมาก หมายถึง กล่าวคำที่มีเจตนาจะสื่อความหมายให้กว้าง เช่น  
“อันของสูงแม้นปองต้องจิต    ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ”
                             ๕.๖ ปฏิพากย์ (ขัดแย้ง) คือ การใช้คำ หรือ ความคิดที่ขัดแย้งกัน แต่นำมาใช้รวมกัน เป็นการกล่าวโดยขัดแย้งกับความจริง แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วจะเห็นว่าเป็นความจริง เช่น เด็กคือบิดาของผู้ใหญ่,  คนขลาดตายไปแล้วหลายครั้งก่อนจะตาย
                             ๕.๗ อธิพจน์ (กล่าวเกินจริง)  มีจุดประสงค์ที่จะเน้นให้เห็นความสำคัญชี้ให้เห็นชัดเจน ใช้เพื่อแสดงอารมณ์อย่างรุนแรง  เช่น คิดถึงใจจะขาด คอแห้งเป็นผง ปวดหัวจนจะระเบิด ฯลฯ
การประเมินค่าวรรณกรรม
                             งานประพันธ์ที่มีคุณค่าต่อตนเอง
                             งานประพันธ์ที่มีคุณค่าต่อตนเอง  หมาย ความว่า งานประพันธ์นั้น ๆ อ่านแล้วได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ได้มากหรือได้น้อยหากได้ประโยชน์มากต้องได้ทั้งความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง จากสาร ทั้งทางด้านวรรณศิลป์และสังคม    นอกจากนั้นยังได้ข้อคิดคติเตือนใจ เพื่อจะได้นำไปใช้ปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิตต่อไป

งานประพันธ์ที่มีคุณค่าต่อสังคม
             งานประพันธ์ที่มีคุณค่าต่อสังคม    หมาย ความว่า ความรู้หรือความคิดที่ส่งออกมา หากคนในสังคมได้อ่านได้รับรู้ก็มีผลให้นำไปช่วยกันพัฒนาสังคม แก้ปัญหาสังคม หรือเกิดความละอายที่จะทำผิด ทำชั่วจึงละหรืองดเว้น ก็จะทำให้สังคมมีความเจริญมีความสุขสงบขึ้น
              ใน การอ่านหรือศึกษางานประพันธ์ที่เป็นสารคดีหรือบันเทิงคดี ตลอดทั้งงานประพันธ์อื่น ๆ ผู้เรียนมีแนวปฏิบัติในการจดบันทึกย่อสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
              ๑. ความหมายของชื่อเรื่อง
              ๒. เนื้อเรื่องย่อ
              ๓. แนวคิดที่สำคัญของเรื่อง
              ๔. ความรู้ที่เราได้รับ
              ๕. ข้อคิด คติเตือนใจ
              ๖. เรื่องนี้มีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไรบ้าง

เกณฑ์การประเมินค่าวรรณกรรม
             งานเขียนที่จะมีลักษณะดีเป็นเลิศได้นั้น จะมีความเด่น ๗  ประการ คือ
               . ดี คือไม่ผิดศีลธรรม    ไม่ชักนำให้ผู้อ่านเห็นผิดเป็นชอบ
               ๒. มีแง่งาม คืองามด้วยคำ    ด้วยเสียง ด้วยเรื่องราว ด้วยภาพพจน์ ด้วยการลำดับเรื่อง ด้วยการวาดลักษณะตัวละคร ฯลฯ
               ๓. มีความเที่ยงธรรม    วรรณกรรม ที่มีคุณค่าผู้เขียนจะต้องมีความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือยกยอเมื่อรักเมื่อชอบไม่บิดเบือนชักพาเข้าสู่ผลประโยชน์ของตน
               ๔. มีความสำคัญ วรรณกรรมที่ดีต้องกล่าวถึงเรื่องราวที่มีความสำคัญน่าสนใจ ไม่ควรเสนอเรื่องหยุมหยิม ไม่มีน้ำหนัก ไม่น่าเชื่อถือ ควรเสนอสิ่งแปลกใหม่น่าทึ่งน่านำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้รับสารและต่อ สังคม
              ๕. เป็นสิ่งจำเป็น  เรื่องราวบางอย่าง บางคนอาจจะมองข้าม เห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ วรรณกรรมที่ดีจะชี้ให้หันมามองสิ่งจำเป็นที่คนส่วนมากมองข้าม
             ๖. มีประโยชน์ วรรณกรรมที่ดีจะต้องเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน เช่น ให้คติชีวิต ให้ข้อเท็จจริงที่เป็นความรู้ ให้ความคิดที่ลึกซึ้ง ให้ทัศนคติที่ใหม่กว้างขวางขึ้น ให้ความเพลิดเพลิน
             ๗. มีค่านิยมสูง คือจะช่วยยกระดับ อุดมการณ์ของบุคคล ของสังคม หรือของชาติได้ ให้เห็นว่าสิ่งใดดีที่สุด  หรือเลวที่สุดในชีวิต

การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
              การ อ่านงานเขียนโดยทั่วไปนั้น ใช่ว่าเราจะอ่านเพื่อให้ได้ความรู้ หรือบันเทิงเพียงอย่างเดียว เมื่อเราอ่าน ต้องรู้จักคิด พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ การอ่านอย่างมีวิจารณญาณต้องอาศัยการวิเคราะห์เป็นพื้นฐาน ผนวกกับการประเมินค่าเรื่องที่เราอ่านอีกขั้นหนึ่ง คือ สามารถวิจารณ์เรื่องนั้น แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล วิเคราะห์ถ้อยคำ ประโยค วิเคราะห์ทรรศนะของผู้แต่งและเนื้อหาได้
              ๑. การวิเคราะห์ถ้อยคำ
                   ๑.๑ ความหมายโดยตรง หมายถึงคำที่มีในพจนานุกรม ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ปาก หมายถึง ช่องสำหรับกินอาหาร ขอบช่องของสิ่งต่าง ๆ เช่น ปากไห ปากทาง ฯลฯ
                   ๑.๒ ความหมายโดยนัย หมายถึงคำที่มีความหมายซ่อนเร้น ต้องตีความหมายตามสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ของสังคม หรือสภาพแวดล้อมผู้พูด หรือถ้อยคำ เช่น กิน - โกง ทำทุจริต กินดินกินทราย แมงดา - ชายที่เกาะโสเภณีกิน , อกหัก- ผิดหวังอย่างไม่คาดคิด
                   ๑.๓ ความหมายตามบริบท หมายถึง คำที่มีความหมายขึ้นกับข้อความรอบข้าง เช่น
คำว่า ขัน ดังตาราง

ไก่ขันแต่เช้า
พูดจาน่าขัน
เขาหยิบขันมา ๑ ชุด
เธอขันน็อตให้แน่นหน่อยสิ
บางคำเช่นคำว่า ขอหอมหน่อย อาจแปลได้ว่า ขอต้นหอม หรือ ขอจูบแก้ม เป็นต้น

              ๒. การวิเคราะห์ประโยค
              การวิเคราะห์ประโยค คือ การพิจารณาการใช้และเรียบเรียงคำ ข้อความในประโยคว่าถูกต้องหรือไม่ เช่น

การพิจารณา
ตัวอย่าง
ควรแก้เป็น
๒.๑ เขียนประโยคไม่สมบูรณ์
เรือนร่างและความสมบูรณ์ของท่าน ท่านเป็นคนที่ผอม แต่ไม่ผอมเกินไป ทำให้มีค่านิยมในตัวท่านมาก
ท่านเป็นบุคคลที่มีรูปร่างสันทัด ไม่ผอมหรืออ้วนเกินไป ทำให้มีค่านิยมในตัวท่านมาก